ReadyPlanet.com
dot dot




นิทานชาดก

 สุวรรณสามชาดก

สุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี.

สุวรรณสามชาดกเป็นเรื่องราวในอดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือ การแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นสุขโดยทั่วหน้ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ เพศ วัย หรือเผ่าพันธ์ุใด ๆ เพราะท่านคิดว่าสัตว์โลก คือ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังนั้นท่านจึงมีความปรารถนาจะนำพาหมู่สัตว์ข้ามวัฏสงสารไปสู่นิพพาน ในพระชาตินี้ พระโพธิสัตว์สุวรรณสามได้บำเพ็ญเมตตาบารมีอย่างยิ่งยวดแม้ว่าจะถูกประทุษร้ายจนสิ้นชีวิตก็ตามการสร้างเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์ในพระชาตินี้จึงเข้าทำนองว่า “ยอมตาย ไม่ยอมไร้น้ำใจ” นั่นเอง

ในอดีตกาล มีฤๅษีชื่อทุกูลฤๅษีและปาริกาฤๅษิณีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งท้าวสักกะทรงเล็งเห็นว่าฤๅษีทั้งสองจะมีภัยจึงเสด็จมาแนะนำให้ทั้งคู่มีบุตรไว้คอยช่วยดูแลโดยให้ทุกูลฤๅษีใช้มือลูบท้องของปาริกาฤๅษิณีในช่วงที่มีระดู เพียงแค่นี้นางก็จะตั้งครรภ์ เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ เดือน ฤๅษิณีก็คลอดบุตร ผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งทองคำ ให้ชื่อว่า สุวรรณสาม วันหนึ่งขณะที่สุวรรณสาม อายุ ๑๖ ปี บิดาและมารดาถูกงูที่อาศัยอยู่ในจอมปลวกพ่นพิษใส่จนตาบอดสนิทนับจากนั้นสุวรรณสามก็ได้ปรนนิบัติดูแลบิดามารดาเป็นอย่างดีเรื่อยมา

สุวรรณสามเป็นผู้ที่แผ่เมตตาอยู่เป็นประจำด้วยเมตตาจิตจึงทำให้ฝูงสัตว์ป่านานาชนิดพากันเดินตามสุวรรณ สามไปในที่ต่าง ๆ วันหนึ่ง สุวรรณสามไปตักน้ำในแม่น้ำ ขณะนั้นพระเจ้าปิลยักขราชทรงดักซุ่มรอล่าเนื้ออยู่ ทรงเห็นสุวรรณสามมีผิวงามดั่งทอง แวดล้อมด้วยฝูงสัตว์ ก็ทรงสงสัยว่าเป็นนาคหรือเทวดากันแน่ จึงทรงยิงลูกศรอาบยาพิษเข้าใส่ เพื่อยับยั้งไว้มิให้หนีหายไป แม้สุวรรณสามทราบว่าพระราชาทรงยิงลูกศรใส่ตน ก็มิได้โกรธเคืองยังคงมีจิตเมตตาอยู่เสมอ และได้สนทนากับพระราชา ด้วยวาจาอันไพเราะ ก่อนที่สุวรรณสามจะสิ้นสติไปพระราชาทรงรับปากจะดูแลบิดามารดาของสุวรรณสามไปตลอดชีวิต

ต่อมา เมื่อทุกูลฤๅษีและปาริกาฤๅษิณีทราบว่า พระราชาทรงยิงลูกศรใส่สุวรรณสามก็มิได้โกรธเคือง แต่ทูลขอร้องให้ทรงนำพวกตนไปหาร่างของสุวรรณสามเมื่อไปถึงทั้งคู่ต่างคร่ำครวญอยู่กับร่างของบุตรอย่างน่าเวทนาจากนั้นปาริกาฤๅษิณีและทุกูลฤๅษีได้อธิษฐานเอ่ยอ้างคุณความดีของสุวรรณสาม รวมกับแรงอธิษฐาน

ของนางเทพธิดาพสุนธรี ผู้เป็นมารดาในอดีตชาติของสุวรรณสามทำให้สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาและไม่มีบาดแผลใด ๆ อีกทั้งดวงตาของฤๅษีและฤๅษิณีก็กลับมองเห็นได้ดังเดิมจากนั้น สุวรรณสามได้ถวายโอวาทแด่พระราชาให้ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมสืบไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12952

 

ทศชาติชาดก

มหานิบาตชาดก ทศชาติชาดก หรือ พระเจ้าสิบชาติ เป็นชาดกที่สำคัญ กล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีใน 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็นพระโคตมพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ชาดกทั้ง 10 เรื่อง เพื่อให้จำง่าย มักนิยมท่องโดยใช้พยางค์แรกของแต่ละชาติ คือ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว

 

ชาดกทั้ง 10 เรื่อง

เตมีย์ชาดก

ชาติที่ 1 เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี - เตมียชาดก (เต) เป็นชาติที่ 1 ของทศชาติชาดก ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามพระโคดม ชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี หมายถึง การออกบวช เตมียชาดก ที่เรารู้จักกันว่า "พระเตมีย์ใบ้" มีเรื่องโดยย่อคือพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเตมีย์ โอรสของพระเจ้ากาสิกราช แห่งกรุงพาราณสี เมื่อพระชนมายุเพียง 1 เดือน ก็ทรงตระหนักว่าการเป็นกษัตริย์ต้องทำบาป ต้องสั่งลงโทษผู้อื่นที่ทำผิด จึงอธิษฐานทำตนเป็นใบ้และง่อยเปลี้ยเสียขา พระบิดาจึงให้โหรหลวงทำนาย ได้ความว่าพระองค์เป็นกาลกิณีแก่ราชวงศ์ให้นำไปฝังทั้งเป็น แต่ก่อนที่พระองค์จะถูกฝังก็แสดงพระองค์ว่าไม่ได้เป็นคนพิการ ทรงเดินได้เป็นปกติและยังยกรถด้วยพละกำลังอันเป็นพระบารมี และเล่าความจริงให้สารถีที่กำลังขุดหลุมเพื่อฝังพระองค์ฟัง ว่าพระองค์ไม่ต้องการเสวยราชสมบัติ จึงแกล้งทำเป็นคนพิการ ต่อจากนั้นได้เสด็จออกบวช ชาดกเรื่องนี้ เน้นให้เห็นการบำเพ็ญ "เนกขัมบารมี" คือละทิ้งราชสมบัติเป็นหลัก[1]

มหาชนกชาดก

ชาติที่ 2 เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี - มหาชนกชาดก (ชะ) เป็นชาติที่ 2 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระชนกกุมาร โอรสพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์เมืองมิถิลา ขณะที่เสด็จลงสำเภาไปค้าขาย เกิดพายุใหญ่เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกทรงว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ในมหาสมุทรถึง 7 วัน นางเมขลาเห็นจึงพูดลองใจว่าให้พระองค์ยอมตายเสียตามบุญตามกรรม แต่พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง ยังพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ตามเดิม นางเมขลาเห็นเลื่อมใสในความพยายาม จึงอุ้มพระองค์เหาะไปส่งที่ฝั่ง พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ วิริยบารมี

สุวรรณสามชาดก

ชาติที่ 3 เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี - สุวรรณสามชาดก (สุ) เป็นชาติที่ 3 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพรหมฤๅษี ต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด วันหนึ่งกบิลยักษ์แผลงศรมาถูกได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส แต่ก็ไม่ได้โกรธ กลับแสดงเมตตาจิตต่อ และเทศนาทศพิธราชธรรมให้กบิลยักษ์ฟัง ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรมทำให้พระสุวรรณสามหายเจ็บปวดรอดชีวิตมาได้ และบิดามารดาก็กลับมีจักษุดี พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ เมตตาบารมี

เนมิราชชาดก

ชาติที่ 4 เพื่อบำเพ็ญอธิษฐานบารมี - เนมิราชชาดก (เน) เป็นชาติที่ 4 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิราช โอรสเจ้าเมืองมิถิลา โปรดการบริจาคทานและรักษาพรหมจรรย์ พระอินทร์ทรงพอพระทัย ถึงกับให้พระมาตุลีนำทิพยรถมารับไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และเมืองนรก แล้วเชิญให้ครองเมืองสวรรค์ พระเนมิราชไม่ทรงรับและเสด็จกลับบ้านเมืองของพระองค์ พอทรงชราก็ออกผนวช พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี

มโหสถชาดก

ชาติที่ 5 เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี - มโหสถชาดก (มะ) เป็นชาติที่ 5 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พระมโหสถ บุตรเศรษฐีในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในนครมิถิลา เมื่อยังเยาว์ได้แสดงสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก พระเจ้าวิเทหราชกษัตริย์แห่งนครมิถิลา ทรงทดสอบปัญญาของพระมโหสถหลายครั้ง ก็สามารถแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง จนเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าวิเทหราช ว่ามีสติปัญญาเหนือกว่าปราชญ์ประจำราชสำนัก ทำให้ปราชญ์ประจำราชสำนักต่างพากันอิจฉา ใส่ร้ายพระมโหสถเนือง ๆ แต่พระมโหสถก็ใช้ปัญญาเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง พระราชาจึงทรงนับถือและเชื่อมั่นในปัญญาของพระมโหสถยิ่งขึ้น และโปรดให้สั่งสอนธรรมแก่พระองค์และข้าราชบริพารตลอดมา นอกจากนั้นพระมโหสถยังใช้สติปัญญาเอาชนะศัตรูที่จะมาตีนครมิถิลา จนต้องยอมแพ้ทั้งยังต้องทำสัตย์สาบานไม่คิดร้ายใครอีก บารมีประจำเรื่องนี้ก็คือ "ปัญญาบารมี" นั่นเอง[2]

ภูริทัตชาดก

ชาติที่ 6 เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี - ภูริทัตชาดก (ภู) เป็นชาติที่ 6 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนาคราชชื่อ ภูริทัต โอรสของท้าวทศรถแห่งเมืองนาค วันหนึ่งภูริทัตได้ตามบิดาไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ เมื่อเห็นทิพย์วิมานก็พึงพอใจปรารถนาจะได้เป็นเช่นนั้นบ้างจึงอธิษฐานถืออุโบสถศีลอยู่ในวังนาค โดยตั้งสัตยาอธิษฐานว่าหากใครปรารถนาในหนัง เอ็น กระดูก หรือเลือดเนื้อของพระองค์ ก็ทรงยินดีสละให้ทั้งสิ้น ขณะรักษาศีลก็มีนางนาคสาวๆมาห้อมล้อม ไม่มีความสงบ จึงออกจากเมืองนาคไปอยู่ยังเมืองมนุษย์ ก็ต้องอดกลั้นต่อความโกรธที่ถูกพราหมณ์จับไปทรมานต่าง ๆ นา ๆ แม้มีฤทธิ์ก็ไม่ประทุษร้ายต่อพราหมณ์เหล่านั้น เพราะเกรงว่าศีลจะขาด ในที่สุดก็ได้แสดงธรรมล้างมิจฉาทิฐิของเหล่าพราหมณ์ที่คิดร้ายต่อพระองค์ และกลับสู่เมืองนาครักษาศีลต่อมาจนตลอดชีวิต บารมีในเรื่องนี้ก็คือ "ศีลบารมี"[3]

จันทชาดก

ชาติที่ 7 เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี - จันทชาดก (จะ) เป็นชาติที่ 7 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นจันทกุมาร โอรสของพระเจ้าเอกราชแห่งกรุงบุปผวดี พระเจ้าเอกราชมีปุโรหิตราชครูเป็นพราหมณ์ชื่อ กัณฑหาละ ที่ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ชอบรับสินบนจึงวินิจฉัยคดีอย่างไม่ยุติธรรม ทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว วันหนึ่งมีการร้องทุกข์ขึ้น พระจันทกุมารได้ตัดสินคดีใหม่ให้มีความยุติธรรม ผู้คนต่างสรรเสริญยินดี พระเจ้าเอกราชจึงตั้งให้จันทกุมารเป็นผู้วินิจฉัยคดีแทน พราหมณ์กัณฑหาละจึงโกรธแค้นผูกอาฆาตพยาบาท และได้ออกอุบายว่าถ้าพระเจ้าเอกราชอยากไปเกิดบนสวรรค์ ให้บูชาด้วยพระราชบุตร พระราชธิดา ช้าง ม้า วัว ควาย ให้ครบอย่างละสี่ พระเจ้าเอกราชหลงเชื่อจึงให้จัดพิธีบูชายัญ พระจันทกุมารต้องมีขันติอดทนต่อการถูกทารุณกรรมด้วยวิธีต่าง ๆ จนพระนางจันทเทวีมเหสีของพระจันทกุมารต้องอธิษฐานขอให้เทพยดาทั้งปวงช่วยเหลือ ด้วยแรงอธิษฐานพระอินทร์จึงมาช่วยให้พระเจ้าเอกราชล้มเลิการบูชายัญ พราหมณ์กัณฑหาละถูกประชาชนลงทัณฑ์จนตาย แม้พระเจ้าเอกราชประชาชนก็จะลงทัณฑ์ด้วย แต่พระจันทกุมารได้ขอชีวิตไว้ พระเจ้าเอกราชถูกขับออกจากเมือง พระจันทกุมารได้ขึ้นครองราชย์ต่อมาจนตลอดพระชนมายุ บารมีประจำเรื่องนี้ คือ "ขันติบารมี"[4]

นารทชาดก

ชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี - นารทชาดก (นา) เป็นชาติที่ 8 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวมหาพรหม นามว่า พระนารทะ ได้จำแลงกายเป็นนักบวชมาแสดงธรรมเทศนาสั่งสอนพระเจ้าอังคติกษัตริย์นครมิถิลา ที่เคยปกครองบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ทรงศีลอุโบสถตลอดมา จนวันหนึ่งได้สนทนาธรรมกับนักบวชชีเปลือยคุณาชีวกะ ทำให้เกิดหลงผิด ละเว้นการรักษาศีลทำทานเสียสิ้น หันมาโปรดปรานมหรสพรื่นเริง ไม่สนใจกิจการของบ้านเมือง จนเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระนารทะมหาพรหม ว่าการกระทำสิ่งใดควรมีอุเบกขา คือการวางใจเป็นกลาง ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ เมื่อเห็นว่าสิ่งใดดีมีประโยชน์จึงเชื่อและปฏิบัติตาม พระเจ้าอังคติจึงกลับมาตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมดังเดิม บารมีประจำเรื่องนี้ก็คือ "อุเบกขาบารมี"[5]

วิธุรชาดก

ชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี - วิธุรชาดก (วิ) เป็นชาติที่ 9 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นวิธุรบัณฑิต ผู้เป็นปราชญ์ในราชสำนักของพระเจ้าธนญชัยโกรัพยะแห่งกรุงอินทปัต พระวิธุรบัณฑิตจะเป็นผู้ถวายธรรมแก่พระราชาจนเป็นที่เชื่อถือเลื่องลือไปทั่ว วันหนึ่งพระเจ้าธนญชัยได้เสด็จไปถือศีล ณ พระราชอุทยาน เหล่าพญานาค พญาครุฑ และพระอินทร์ ต่างพากันมาเจริญสมาธิบำเพ็ญสมณธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย พระราชาทั้งสี่ต่างใคร่รู้ว่าศีลของผู้ใดจะประเสริฐกว่ากัน พระวิธุรบัณฑิตได้กราบทูลว่า ศีลของทั้งสี่พระองค์ต่างก็เลิศล้ำคุณธรรมเสมอเหมือนกัน ทั้งสี่พระองค์จึงทรงปีติยินดีกันทั่วหน้า จึงประทานรางวัลแก่วิธุรบัณฑิต เมื่อพญานาคกลับถึงเมืองนาคก็พรรณาคุณของวิธุรบัณฑิต ทำให้มเหสีใคร่จะฟังธรรมบ้าง จึงออกอุบายแสร้งประชวรแล้วให้พระสวามีนำหัวใจของวิธุรบัณฑิตโดยที่เจ้าตัวต้องให้มาด้วยความเต็มใจ มิฉะนั้นนางจะถึงแก่ความตาย พญานาคจึงให้พระธิดาป่าวประกาศว่าถ้าผู้ใดนำหัวใจพระวิธรบัณฑิตมาได้จะยอมเป็นชายา ยักต์ปุณณกะ ได้อาสาไปท้าพนันกับพระเจ้าธนญชัย พระเจ้าธนญชัยทรงพ่ายแพ้จึงมอบพระวิธรบัณฑิตให้ไป ยักษ์ปุณณกะพยายามฆ่าพระวิธุรบัณฑิตหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ เมื่อยักษ์ปุณณกะได้ฟังธรรมจากวิธุรบัณฑิต จึงเกิดความเลื่อมใส จะปล่อยตัวพระวิธุรบัณฑิต แต่พระวิธุรบัณฑิตยืนยันจะไปพบพญานาคให้ได้ ยักษ์ปุณณกะจึงพาไปยังเมืองนาค และได้แสดงธรรมแก่มเหสีของพญานาคตามความปรารถนาของนาง เพราะการแสดงธรรมก็คือหัวใจของพระวิธุรบัณฑิตนั่นเอง เมื่อวิธุรบัณฑิตกลับบ้านเมืองของตนแล้วก็ได้แสดงธรรมสั่งสอนประชาชนจนสิ้นอายุขัย บารมีประจำเรื่องนี้คือ "สัจจบารมี"[6]

เวสสันดรชาดก

ชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมี - เวสสันดรชาดก (เว) เป็นชาติที่ 10 ของทศชาติชาดก สำหรับชาติสุดท้ายในทศชาดก เป็นชาติที่สำคัญ และบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ ที่นิยมกันมากและเป็นเรื่องที่ยาวที่สุด บางทีเรียกกันว่า มหาชาติ หรือมหาเวสสันดรชาดก เป็นเรื่องราวที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร โอรสของพระเจ้าสัญชัย และพระนางผุสดี แห่งนครสีพีรัฐบุรี ทรงบริจาคทานมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา ได้เสด็จขึ้นครองราชย์และอภิเษกสมรสกับพระนางมัทรี มีพระโอรสและพระธิดา คือ พระชาลีกุมาร และพระกัณหากุมารี ต่อมาเกิดกลียุคฝนแล้งที่เมืองกลิงครัฐ ประชาชนพากันเดือดร้อน อำมาตย์จึงให้ทูลขอช้างคู่บารมีของพระเวสสันดร ซึ่งถ้าไปอยู่ที่ใดก็จะทำให้เกิดฝนตก พระองค์ก็ทรงบริจาคให้ ทำให้ชาวเมืองสีพีรัฐบุรีพากันโกรธแค้น ให้พระเจ้าสัญชัยเนรเทศพระเวสสันดรออกไปจากพระนคร พระเวสสันดรจึงพาพระมเหสี พระโอรส พระธิดา เสด็จออกจาเมือง ระหว่างทางก็ทรงบริจาคม้าและรถเป็นทานอีก จนต้องอุ้มพระโอรสพระธิดา เสด็จเข้าป่าหิมพานต์และทรงผนวชเป็นนักบวช บำเพ็ญศีลอยู่ในป่า วันหนึ่งพราหมณ์ชูชกได้ติดตามไปขอพระโอรสและพระธิดา เพื่อนำไปเป็นทาสรับใช้นางอมิตดา ภรรยาของตน พระเวสสันดรก็พระราชทานให้ ฝ่ายพระอินทร์เกรงว่าจะมีคนชั่วมาทูลขอพระนางมัทรีอีก จึงจำแลงกายเป็นนักบวชชรามาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดร ก็ทรงยินดีพระราชทานให้เช่นกัน แต่พระอินทร์ก็ถวายพระนางมัทรีคืนเพราะจุดประสงค์ก็เพียงลองพระทัยของพระเวสสันดรประการหนึ่งและเพื่อกันมิให้พรเวสสันดรพระราชทานพระนางมัทรีแก่ผู้ใดที่จะมาขออีกประการหนึ่ง ฝ่ายชูชกซึ่งพาชาลีและกัณหา กลับมาบ้านเมืองของตน ระหว่างทางก็หลงเข้าไปในเมืองสีพีรัฐบุรี พระเจ้าสัญชัยทรงจำได้ จึงไถ่ถอนกุมารทั้งสองให้พ้นจากการเป็นทาสของชูชก บรรดาชาวเมืองที่เคยไม่พอใจต่างก็รำลึกถึงความดีของพระเวสสันดร ต้องการให้พระองค์เสด็จกลับบ้านเมือง พระเจ้าสัญชัยจึงยกทัพไปทูลเชิญพระเวสสันดรกลับมาครองเมืองตามเดิม หลักธรรมในเรื่องนี้เป็นการส่งเสริมการบริจาคทาน คือ "ทานบารมี"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/

 

 







Copyright © 2010 All Rights Reserved.