ReadyPlanet.com
dot




วรรณกรรมอีสาน

 

ผญาเกี้ยว

๑.  ผญาเกี้ยวขั้นถามข่าว  ในขั้นถามข่าวนี้มักมีการถามข่าว ๒ กรณีคือ  การที่ฝ่ายชายมาถึงที่ฝ่ายหญิงอยู่  แล้วถามถึงทุกข์สุข การงาน  ที่อยู่หมู่บ้านใด  ผญาชนิดนี้ปรากฏบ้างไม่มากนัก

ตัวอย่างเช่น

  เจ้าผู้งามโต่งโหล่ง  หลงมาทางเอิ้นใส่แด่เน้อ

  มาแวะยามแล้ว  เอิ้นกินเข้าแด่เป็นสัง

ชาย :   สุขสำบายหมั้น  เสมอมันเครือเก่าบ่นอ

    เทิงพ่อแม่พี่น้อง  สำบายดีอยู่สู่คนบ่เด

  หญิง : น้องนี้สุขสำบายหมั้น    เสมอมันเครือเก่าอยู่เด้ออ้าย

      เทิงพ่อแม่พี่น้อง  สำบายพร้อมสู่คน

  (สุระ  อุณหวงศ์  : ๑๐๕)

  ในบางกรณี การถามข่าวอาจเป็นการถามถึงเรื่องคู่ครองเลยทันทีก็มี  โดยถามว่ามีครอบครัว  สามีภรรยาหรือยังแบบนี้ปรากฏอยู่บ้าง

ตัวอย่างเช่น

  ถามข่าวเจ้า  ถามข่าวทางปา

  ถามข่าวนา  ถามข่าวทางข้าว

  ถามข่าวเจ้า  มีผัวแล้วหือบ่

  หือหากมีแต่ซู้  ผัวสิซ้อนกะบ่มี

  (ประมวล  พิมเสน : ๒๕๔๓:๑๐)

 

  อ้ายอยากถามข่าวน้อง  ว่ามีผัวแล่วไป่

  หรือว่ามีแต่ซู้  ผัวซ้อนหากบ่มี

  (ประมวล  พิมพ์เสน .๒๕๔๓:๕๙)

  ผญาเกี้ยวบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีบทถามข่าวตรง ๆ หากแต่ใช้บทเกี้ยวเป็นบทถามข่าวโดยนัยแทนก็ได้  ซึ่งโดยมากก็มักเป็นการเกี้ยวของบ่าวสาวที่รู้จักและสนิทสนมกันก่อนแล้ว  จึงไม่จำเป็นต้องถามข่าวโดยตรง

ตัวอย่างเช่น

  พี่นี้แนวควายตู้  หากินบ่คือเพิ่น

  ประสงค์กินแต่หญ้า  สวนห้างจั่งแม่นคอ

  พอเหลียวหลังเห็นหน้า  สาวฮ้างดีใจเต้นเข้าใส่แท้แหล่ว

  (สุระ  อุณวงศ์ ๒๕๔๒:๑๐๕)

  อ้ายนี้เป็นดังเซื้อสะเพาคัง  บ่หนีฟองแก้งใหย่

  อ้ายสิเบ็ดใส่เฝือน  อ้ายสิเฝือนใส่ก้อน

  อ้ายสิย้อนใส่แก้ง  ตำแล้วจั่งสิถอย

  (ประมวล  พิมพ์เสน. ๒๕๔๓: ๘๓)

  เรา จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมการรับแขกของชาวอีสานนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าโดย เฉพาะอย่างยิ่งจากผญาเกี้ยวนั้นบอกให้เราทราบถึงมารยาทในการใช้ภาษา  ความมีน้ำใจของหญิงชายที่ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็สามารถที่จะพูดคุยด้วยกับได้  โดยใช้ความจริงใจต่อกัน  ฝ่าย ชายเมื่อมาถึงเรือนฝ่ายหญิงก็ต้องเป็นฝ่ายต้อนรับพร้อมโต้ตอบเมื่อฝ่ายชาย ถาม โดยไม่มีอาการกินแหนงแคลงใจว่าเป็นคนแปลกหน้าแต่อย่างใด

  ๒.  ผญาเกี้ยวขั้นเกี้ยวพาราสี  เมื่อมีการถามข่าวกันแล้ว  ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง  จะทำการเกี้ยวพาราสีกัน  โดยการเกี้ยวพาราสีนั้นปรากฏอยู่ในเอกสารมาก  ซึ่งสามารถแบ่งบทเกี้ยว  ๒  ลักษณะคือ  เกี้ยวเอาใจ  เกี้ยวเชิงตัดพ้อ

  ๒.๑ เกี้ยวเอาใจ  คือ การเกี้ยวเอาใจอีกฝ่าย  หวัง เพื่อใช้คำหวานซึ่งยึดตรึงใจฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ยอมรับตนเองโดยหวังเพื่อจะ ได้มีสัมพันธ์ชู้สาว หรือเพื่อการเป็นคู่ครองซึ่งกันและกันนั่นเอง โดยมากฝ่ายชายจำต้องแสดงภูมิรู้ในเชิงภาษาออกมาให้มากและเหนือกว่าฝ่ายหญิง ซึ่งอ่อนให้ก็เป็นอันยอมรับการเกี้ยวพาราสี

ตัวอย่างเช่น

    ผู้งามงามจั่งน้อง  แม่นแม่อุ่นทานหยัง

  หรือว่าแม่น้องนั้น  ทานดอกคุตทังกอ

  หรือว่าแม่น้องนั้น  ทานดอกยอทั้งต้น

  น้องจังงามลื่นล้น  ซาวบ้านเพิ่นซ่าลือ

    ( ประมวล  พิมพ์เสน. ๒๕๔๓ : ๒๐)

  น้องผู้งามงามนี้  ยืมเพศผู้ใด๋มา

  น้องผู้งามงามนี้  ยืมขาผู้ใด๋ย่าง

  ขี้ฮ้ายจั่งอ้าย  แม่นยืมซ้างเพิ่นขี้มา

  ( ประมวล  พิมพ์เสน. ๒๕๔๓ : ๒๑)

  จากบท วิเคราะห์ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่าการใช้ภาษานั้นเพื่อที่จะพูดโน้มน้าวจิตใจ คนนั้นเป็นสิ่งสำคัญและก็เป็นปราการที่จะทำให้คนเรารู้จักและรักใคร่กันได้ ในที่สุด  บทผญาเกี้ยวเอาใจนั้น เป็นความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารโน้มน้าวจิตใจให้ผู้ได้ฟังเกิดความ รักใคร่และอยากที่จะรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมด้วย  ซึ่งก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งในการจ่ายผญาที่สำคัญและจะขาดไม่ได้เลย

๒.๒ เกี้ยวเชิงตัดพ้อ  เมื่อถามข่าว  เกี้ยวเอาใจยกย่องฝ่ายตรงข้าม

แล้ว ถ้ามีถ้อยคำ  หรือสำนวนที่ไม่เป็นที่พอใจของผู้ฟังก็จะมีการกล่าวตัดพ้อต่อว่ากันโดยในข้อ นี้เราจะเห็นถึงปฏิภาณของผู้กล่าวโต้ตอบโดยใช้ภูมิรู้โต้ตอบโดยฉับพลัน  เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความละอายใจและยอมจากไป  ซึ่งที่จริงแล้วเป็นการกล่าวเพื่อต้องการทราบว่าฝ่ายชายจะเลิกล้มความคิดที่จะเกี้ยวไหมหรือยังมีความพยายามต่อไ

ตัวอย่างเช่น

  คันแม่นเจ้ามักข้อย  แกงหอยให้มันเปื่อย

  แกงปาให้เปื่อยก้าง  แกงซ้างให้เปื่อยงา

  ( ประมวล  พิมพ์เสน.๒๕๔๓:๑๓)

  เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าตนเองเองทำไม่ได้หรือไม่มีความพยายามก็จะจากไปไม่ทำการเกี้ยวต่อไปอีก

  ตัวอย่างเช่น

  คันบ่เป็นตาส่อน  สิคาดห่างลงสา

  คันบ่เป็นตาสา  สิแบกกะโซ้คืนบ้าน

  ( ประมวล  พิมพ์เสน.๒๕๔๓:๙)

บางครั้งการกล่าวเชิงตัดพ้อนั้นก็เพื่อเป็นการหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเอาใจหรือสงสารตนเองก็ได้  โดยมากมักเป็นการกล่าวลดค่าของตัวเองให้เห็นว่าต้อยต่ำกว่าฝ่ายตรงกันข้าม  เป็นกลวิธีหนึ่งที่ใช้มัดใจก็ฝ่ายตรงข้าม  ซึ่งฝ่ายที่ตัดพ้อจะพยายามหาถ้อยคำมาเปรียบและทิ้งท้ายว่าไม่สงสารแล้วหรือไม่เห็นใจแล้วบทผญาในลักษณะนี้เป็นการแสดงภูมิรู้ว่าผู้จ่ายหรือผู้พูดนั้นมีความรู้กว่างขวางมากเท่าใ

ตัวอย่างเช่น

 

  น้องนี่แนวนาวเซื้อ  บักหอยนาหน้าต่ำ

  บ่แมนหงคำบินผ่านฟ้า  จั่งสมอ้ายผู้งาม  ดอกนา

  ( ประมวล  พิมพ์เสน. ๒๕๔๓:๑๗)

  บางครั้งการกล่าวบทตัดพ้อก็หวังเพื่อจะได้ทราบความจริงใจของอีกฝ่ายว่ามีให้มากน้อยเท่าใด  ซึ่งกลวิธีแบบนี้มีใช้ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย  แต่จะปรากฏใช้ในฝ่ายหญิงมากกว่า  ทั้งนี้เพราะผู้ที่เข้ามาเกี้ยวก่อนนั้นเป็นฝ่ายชายก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่ายหญิงจะต้องกล่าวเพื่อ  เป็นลองใจเพื่อหยั่งเชิงฝ่ายชายดูว่าจะมีความจริงใจให้เท่าใด

  ตัวอย่างเช่น

  คันอ้ายมีเมียแล้ว  อย่าลงเฮือนให้หมาเห่า

  ให้อ้ายนั่งเค้าเม้า  ไพหย่าอยู่เฮือน

  ( สุระ  อุณวงศ์. ๒๕๔๒:๑๐๒)

  (ถอดความได้ว่า ถ้าพี่มีเมียแล้วอย่าจากบ้านมาเล่นสาวให้หมาเห่าเลย ให้อยู่บ้านนั่งกรองหญ้าเฝ้าเรือนดีกว่า:เป็นการกล่าวตัดพ้อบอกชายให้บอกความจริงมาว่ามีเมียรึยังให้ยืนยันมาด้วย)

  จากการวิเคราะห์ในข้างต้นเราจะเห็นได้ว่าการกล่าวตัดพ้อของในบทเกี้ยวนั้นไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดประชดประชันด้วยความเกลียดชัง  หากแต่กล่าวอย่างมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงมากกว่านั้นคือ  กล่าวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแสดงความพยายามที่จะเกี้ยวต่อไป  กล่าวเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นใจหรือสงสาร  กล่าวเพื่อต้องการทราบความจริงใจจากฝ่ายตรงข้าม  จาก จุดประสงค์เหล่านี้เองเป็นหัวใจของการเกี้ยวพาราสีและเป็นขั้นตอนสำคัญที่คน อีสานสมัยก่อนใช้และประสบผลสำเร็จคือชายหญิงตกลงแต่งงานกันมามากนักต่อนัก แล้ว

  ๓ . ผญาเกี้ยวขั้นลา  ด้วยความเป็นชนชาติเจ้าบทเจ้ากลอนนั้นเมื่อเกี้ยวพาราสีจนเป็นที่  บันเทิงแก่ใจแล้วเมื่อเวลาดึกหรือเวลาที่จะกลับแล้วนั้นก็จะทำการกล่าวลา  การกล่าวลานั้นต้องอาศัยอยู่กับบริบทในการเกี้ยวพาราสีว่าสำเร็จหรือไม่ ถ้าสำเร็จการลา  ก็มักจะเป็นบทที่ส่งท้ายแบบฝากรักให้ฝ่ายตรงข้ามคิดถึงและอาลัยหา

  ตัวอย่างเช่น

  บัดนี้ดึกคล้อย ๆ  ลมวอยหนาวน่วง

  สุดเป็นห่วงนาถน้อง  ใจสะบั้นสั่นสาย

  พี่สิลาก่อนเด้อหลา  สายตาซู้เพิ่น

  วาสนาพี่ฮอดเจ้า  เซาแล้วบ่กาย ดอกนา

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก..... https://www.gotoknow.org/posts/537097

 ฮักอมตะบ่าวครูไทย-สาวลาว

ภาษาอีสาน

          อดีตกาลนานมาแล้วรัฐบาลไทยห่าวส่งครูไทยไปสอนนอก  ประเทศลาวคักแท้จำไว้แม่ใหญ่ทอง ครูหนุ่มไทยกะจ้องอยากไปเบิ่งเมืองลาว พากันสมัครมากมายหลายล้น  “ครูคำ ฮงทอง” หม่นจอระดลไปนำหมู่ ครูไทยแตกอู้ๆไปลาวพร้อมอเนกนอง  ลงช่องเม็กเดอพี่น้องเข้าสู่เมืองลาว “จำปาสัก” คักแฮงคุณป้า  มีแต่ภูผาโค้งภูมะโรงซ้งป่า มีดงหนาป่ากว้างขวงไว้บ่อนสิไป   เหงื่อกะไหลแตกหน้าขาหย่างทางเดิน

         ยากเหลือเกินทางฮกวกวนจนย้าน  ฝูงลิงเต้น กะเล็น กระแต แย้ บ่าง ต่างกับไทยเดอพ่อตู้พวกครูย้านสั่นสาย  ลางคนป้ายขึ้นขี่เฮือไป โขงกะไหลวังเวินเติ่นไปยามเช้า ดอนขะเหมาไหลย้อน สีพันดอนไหลหลาก ยากสิจำจื่อได้ไหลล่องหล่องของ

          มวลพี่น้องท้องถิ่นดินลาว สาวกะงามเหลือหลายฝ่ายลาวทางใต้ ใจเธองามเสียด้วย คีงสวยคือฟ้าแต่ง หนุ่มครูไทยมักแฮงขอแต่งเอาอี่น้องประคองไว้จั่งหน่วยตา

   บาดนี่ คือเสียงฟ้าแล้งแดดกะแห่งบ่มีฝน รัฐบาลไทยสั่งครูทุกๆคน

ต่าวคืนเมือบ้าน  สงสารครูเด้ อกสิเพแตกแหล่ง พี่น้องเอย  ลางคนเอาเมียกำลังฮักกำลังแพงข่วมโขงมาฝั่งนี้เฮไห้ใส่แต่กัน

       บ่อนฮิมฝั่งน้ำเมียเอิ้นสั่งยังผัว อ้ายครู อ้ายครูเอย เจ้าไปเถิงเมืองไทยแล้วให้ต่าวคืนมาบ้าง   สิบปีน้องกะสิถ่า ซาวพรรษาน้องสิอยู่ อ้ายครูเอย “คึดเถิงลูกผู้ฮู้อ้ายครูอุ้มบ่อยากวางแหน่เด้อ” พอสั่งแล้วเฮือกะข่วมโขงมา น้ำครูไทยไหลห่วงอาลัยนำน้อง สาธุ สาธุ เด้อ! พระอินทร์อยู่ฟ้าตาทิพย์เห็นประจักษ์ ขอให้มาพิทักษ์ลูกเมียของผู้ข่าให้มีความสุขล้นโพยภัยไกลห่าง ใหญ่เป็นท้าวเป็นนางเด้ออี่หล้า เมืองฟ้าให้เบิ่งแญง

         “ปีล่วงพ้นความหม่นหมองใจ” เกิดเป็นใสฮอง  ฮองดั่งทองในเบ้า “มะณีทอง”นางเข้าเมืองไทยตามหาพ่อ แต่กะหาบ่พ้อ ตายแล้วตั้งแต่นาน นางเลยทำบุญสร้างอานิสงน์ยู้ส่ง

            พ่อคำเอย ให้เจ้าจงดำรงอยู่ชั้นสวรรค์รื่นหมื่นปีพ่อเอย  “มะณีทอง”ผู้นี้สาวลูกกตัญญู หาคนคือเปรียบนางบ่มีได้ นอกจากทำบุญสร้างแทนคุณผู้เป็นพ่อ  เธอกะยังติดต่อให้ไทย-ลาวพี่น้องสองข้างฝั่งโขงมาพบ

พ้อติดต่อสัมพันธ์  “ฮักกันคือหน่วยแตง แพงกันปานหน่วยตา เผิ่งพากันได้” “มธณีทอง” ทำให้ไทยลาวน้องพี่ สามัคคีเลิศล้ำ สองน้ำตะฝั่งโขง

    ตาขออวยพรให้คนดีศรีสง่า การค้าขายให้เจ้าได้กำไรแน่นแก่นถง คึดอี่หยังให้ได้สมดั่งใจปอง คึดเอาเงิน เอาทองหลั่งมาคือน้ำ โรคาฮ้ายอันตรายให้หนีผ่าน ทั้งครอบครัวบริวาร สุขสำราญราบรื่น ยืนมั่นหมื่นปีเด้อ หล่าเอยฯ

                   ครูพรมมา   พลศักดิ์

                  ๒ มกราคม ๒๕๕๖

ตำนานรักขุนลูนางอั้ว

ภาษาอีสาน

         สวัสดีพี่น้อง พ่อแม่อาวอา   คณุพรมมา คนเขียนเหลี่ยนปานวงล้อ

จับดินสอมาแต้มเขียนไปไหว่ๆ   ครูพรมมาคนไค หากผมผิดพลาดบ้าง อภัยข่อยอย่าหว่ากันเด้อพี่น้อง  หากมีดีอยู่บ้างยกให้หมู่ทั้งหลาย 

ลูกละทายทุกคนฮับเอาให้เต็มที่  ผมยินดียอให้บ่เอาเลยนำหมู่ ฟังเดอ เรื่องขุนลูและอั้ว ฟังแล้วแห่งหม่วนแฮง

          อีสานก้ำเมืองภูเขาเก้าหลั่น  สหัสขันธ์ กาฬสินธิ์ถิ่นบ้านภูพานตั้งตระหง่านงาม  แต่ก่อนพุ้นเป็นป่าหนาฮก  บ่มีคนไปถางป่ามุงคุงฟ้า  มีเสือช้างกวางฟานเต้นแหล่น  แดนพงไพรใหญ่ล้ำคนย่ายบ่อยากไป

           ยังมีมานพน้อยนามชื่อ”ขุนลู”  บาคานงามดั่งเทวดาปั้น  เกิดเป็นพงษ์พันธ์เชื้อชายไทยใจใหญ่   ขี่ม้าไปเที่ยวบ้านแถวนั้น เบิ่งผู้สาว

           เลยเหล่าไปพบพ้อสามหนึ่งงามแฮง ปากกะแดงตากะคมผมดกดำดั่งขนกาน้ำ  ยามเมื่อนางเดินย้ายคือหงส์เหมราช  ผิวสะอาดคือหยวกกล้วยสวยแท้แหน่นอน   ชื่อหว่าอั้วงามดั่งสาวสวรรค์ ไผมาเห็นกะเบิ่งนาง

จนตาค้าง   ตั้งแต่คนเมาเหล้ามาเห็นกะยังส่วง  พ่อทิดจวงอ้ายทิดจ้อนเห็นอั้วอยากนบนางพุ้นแหล่ว   บ่าวพ่อฮ้างหนุ่มแห่มามัก   นางบ่หัวซาไผอยู่เดียวนอนแล้ง  พ่อแม่แพงคือแก้วดวงตาคือหว่า  ปรารถนาอยากได้หาให้สู่แนว

         ขุนลู ท้าวมักอั้วตั้งแต่ข่ามาเห็น จักหว่าเวรกรรมหยังจั่งมักนางเหลือล้น  คันบ่เห็นสาวอั้วอำคางามสง่า ย่านชีวามอดม้วยตายแท้แหน่นอน  ขุนลูขี่บักจ้อนแดดอ่อนไปหานาง คิดคะนิงคีงบางห่วงนำแต่นางอั้ว ผูกม้าไว้แคมสวนป่าบักถั่ว  ผูกม้าไว้แคมฮั้วป่าบักเยา  สาวบ่าวเว่าจาต่อรำพัน ต่างกะสัญญากันวหว่าวิตายแทนได้  บ่มีแนวมากั้นสองเฮาไว้ให่ห่าง  ตายกะส่าง ขอให้เฮาฮักมั่นยืนยั้งหมื่นปี เด้ออั้ว

         พ่อแม่ท้าวบาบ่าวขุนหลู    ซังแฮงหลายฝ่ายทางนางอั้ว เถียงกันมั่วหลายคำก้ำเกี่ยง  ยากแต่นำหมากเกลี้ยงเถียงเว่าอยู่บ่เซา  กูกะเว่ามึงกะเว่าตัดขาดสัมพันธ์ เลยเกิดหมองใจกันตั้งแต่ปางหลังพุ้น  ผู้เกิดลุนพลอยซ้ำผลกรรมนำส่ง ย้อนผู้เฒ่าขี้โกง ลูกหลานจั่งได้ม้างวางไว้ได้แค่ตาย

     คึดผู้เดียวหมองตรองผู้เดียวเศร้า น้ำตาไหลลงหย่าวๆ

บ่าวขุนลูเอย   พ่อแม่กีดกันไว้ให้ห่างสอง  อยากไปเห็นหน้าน้องอั้วข่าตาคม....

เด้หล่า   เห็นแต่ลมพานพัดอยากสั่งลมไปหาน้อง    เจ็บกระดองใจล้นทุรนอุกอั่ง เซ้ากะส่างแลงกะส่างขุนลูมีแต่ไห้น้ำตาย้อยใส่แต่หมอน

         บัดนี้ขอกล่าวย้อนกลับกล่าวกลอนแถลง ขุนลูแทงคอตายเพราะมักหลายนางอั้ว เลือดไหลแดงลงพื้นเต็มเฮือนไหลลงป่อง  พวกซุมแซงพี่น้องโฮไห้ใส่กัน

           ส่าลือไปฮอดบ้านอั้วข่าตาคม  นางเป็นลมหลายยกเป่าน้ำคืนมาได้  นางเสียใจนางฮ้องประคองใจไว้บ่อยู่  “ไปก่อนเด้อขุนลู อั้วสิตามพี่แท้ ไปคอยน้องอยู่สวรรค์ เด้ออ้าย”

            แลงค่ำค่อยแดดอ่อนคนเผลอ อั้วบายเอาไหมคอคำแม่นางเข็นไว้  หลบตัวลี้หนีไปเข้าในป่า  เถิงจวงจันทน์ห่มไม้พะนางได้นั่งลง  นางคึดได้จั่งเอิ้นสั่งยังกา สะกุนาเอย ให้เจ้าบินไปหาบอกแม่กูให้พอฮู้  บอกหว่ากูนางอั้วตายบนต้นไม้ใหญ่ ชาตินี้เหมิดอาลัยขอตามไปอยู่คู่อ้ายขุนลูท้าวอยู่สวรรค์

             แม่อั้วนั้นฮู฿ข่าวนำกา พากันมาเอาศพอยู่จวงจันทน์ไม้  เฒ่ากะเฮฮนไห้ดวงใจกะหดหู่   เพราะชุนลูบ่าวท้าว สาวอั้วจั่งค่อยตาย

              พระยาอินทร์อยู่ฟ้าตาทิพย์เห็นประจักษ์ เห็นใจในความฮักหนุ่มขุนลูอั้ว  เลยประทานพรให้สีแดงแสงหุ่ง  เลือดขุนลูแดงอยู่ฟ้าพาให้ขุ่นมัว  ส่วนอั้วน้อยข่าอำ

คาตายไปเป็นมาลากลิ่นหอมซอมพั้ว ตายเป็นดอกนางอั้วคนอีสานเขาหว่า เป็นประหลาดได้ไหมน้อยผูกอยู่คอ เคยพบพ้อเกิดอยู่ตีนเขา เดี๋ยวนี้หาเหมิดปีกะบ่มีคนพ้อ แต่กะพอหาได้ในดงพงป่า  หลายพันปีแล้วนาตั้งแต่มีดอกอั้วเคียงคู่อยู่อีสาน

        ลือไปเจ็ดย่านน้ำในเรื่องรักขุนลู  กับคนงามเขี่ยมคมคุณอั้ว เป็นพยานให้อีสานไทยได้จำจื่อ  พวกซุมสาวบ่าวจ้อยฟังไว้ให้หิ่นตรอง ขุนลูมักอี่น้องอั้วข่าอำคา แหม่นสิมรณาตายกะชื่อยังฝังไว้ ประทับใจคนหลายล้านอีสานเฮาตั้งแต่ปู่  นางอั้วและขุนลู แม้นสิตายมอดม้วยคนย่องทั่วอีสาน.....เด้อพี่น้องฯ

                                                                      ครูพรมมา พลศักดิ์ / ประพันธ์

 

                                                                       ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๕







Copyright © 2010 All Rights Reserved.