บุญสงกรานต์ (บุญเดือนห้า)
ความสำคัญและความหมาย
คำว่าสงกรานต์ ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่าเทศกาลเนื่องในวันขึ้นปีใหม่อย่างเก่าซึ่งกำหนดตามสุริยคติตกวันที่ 13 – 14 – 15 เมษายน หากแปลตามรากศัพท์ บาลี สันสกฤตหมายถึงผ่าน หรือเคลื่อนย้ายไปในจักรราศรีหนึ่ง ก็เรียกว่าสงกรานต์ ปีหนึ่งมี 12 ราศรี ราศรีละเดือนแต่วันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศรีเมษ คือ ในเดือนเมษายนเราเรียกเป็นพิเศษว่า “มหาสงกรานต์” เพราะถือว่า เป็นวันและเวลาขึ้นปีใหม่ตามคติโบราณ แต่โดยทั่วไปเรียกว่าวันสงกรานต์เท่านั้น ก็เป็นที่เข้าใจกัน
บุญสงกรานต์หรือตรุษสงกรานต์ ของภาคอีสานกำหนดทำกันในเดือนห้าปกติมี 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน เหมือนกับภาคกลาง วันที่ 13 เป็นวันต้น คือวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน คือวันกลางเป็นวันเนา และวันที่ 15 เมษายนเป็นวันสุดท้าย เป็นวันเถลิงศก ชาวอีสานถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ พิธีสงกรานต์ในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ อาจมีพิธีทำแตกต่างกันไปในข้อปลีกย่อย แต่ที่ทำเหมือนกันคือการสรงน้ำพระพุทธรูปที่สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูปมักเป็นที่ใดที่หนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสมซึ่งตามปกติมักใช้ศาลาการเปรียญ แต่บางวัดมีการจัดสร้างหอสรงขึ้นแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ เพื่อทำการสรงในวันสงกรานต์ และในวันถัดจากวันสงกรานต์อีกด้วย
มูลเหตุที่มีการทำบุญสงกรานต์ มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีผู้หนึ่ง อยู่กินกับภรรยามานานแต่ไม่มีบุตร เศรษฐีผู้นั้นบ้านอยู่ใกล้กับบ้านนักเลงสุรา นักเลงมีบุตรสองคนผิวเนื้อเหมือนทอง วันหนึ่งนักเลงสุราไปกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี เศรษฐีจึงถามว่าเหตุใดจึงมาหมิ่นประมาทตนผู้มีสมบัติมาก นักเลงสุราตอบว่า ถึงท่านมีสมบัติมากท่านก็ไม่มีบุตรตายแล้วสมบัติจะสูญเปล่าเรามีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่าท่าน เศรษฐีได้ยินดังนั้น มีความละอาย จึงทำการบวงสรวง ตั้งอธิษฐานขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ถึงสามปีแต่ไม่เป็นผล จึงไปขอบุตรต่อต้นไทร เทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรสงสาร ได้อ้อนวอนขอบุตรต่อพระอินทร์ให้เศรษฐี พระอินทร์จึงโปรดให้ ธรรบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อประสูติแล้วเศรษฐีให้ชื่อว่าธรรมบาล ตามนามของเทวบุตร และปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ที่ใต้ต้นไทรนั้น ธรรมบาลเป็นเด็กฉลาด โตขึ้นอายุ 7 ขวบ ก็สามารถเรียนจบไตรเพท เรียนรู้ภาษานกและมีความเฉลียวฉลาดมาก ต่อมากบิลพรหมจากพรหมโลกได้ลงมาถามปัญหาสามข้อกับธรรมบาล ปัญหามีว่า คนเราในวันหนึ่ง ๆ เวลาเช้าศรีอยู่ที่ไหน เวลาเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และเวลาเย็นศรีอยู่ที่ไหนโดยสัญญาว่า ถ้าธรรมบาลแก้ได้กบิลพรหมจะตัดศรีษะของตนบูชา แต่ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ จะต้องตัดศรีษะธรรมบาลเสีย โดยผัดให้เจ็ดวัน คราวแรกธรรมบาลนึกตอบปัญหานี้ไม่ได้ พอถึงวันถ้วนหก ธรรมบาลไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเดินเข้าไปในป่า พอดีแอบได้ยินนกอินทรีสองผัวเมียพูดกันอยู่บนต้นตาล โดยนกอินทรีตัวเมียปรารภกับนกอินทรีตัวผู้ซึ่งเป็นผัวว่าพรุ่งนี้ไม่ทราบว่าจะได้อาหารอะไรสู่ลูกกิน นกอินทรีตัวผู้จึงตอบว่า อาหารมีอยู่แล้ว คือ จะได้เนื้อธรรมบาลแล้วนกอินทรีตัวผู้ก็เล่าเรื่องราว ที่กบิลพรหมมาถามปัญหาธรรมบาลให้เมียฟัง และคิดว่าธรรมบาลคงตอบปัญหาไม่ได้ กบิลพรหมก็จะตัดศรีษะธรรมบาลตามที่พูดสัญญาไว้ ในขณะพูดกันนั้นนกอินทรีตัวผู้ได้พูดคำตอบให้นกอินทรีตัวเมียฟังด้วย ธรรมบาลได้ยินนกพูดกันเช่นนั้น จึงสามารถแก้ปัญหาได้ คำตอบคือ เวลาเช้าศรีอยู่ที่หน้า คนจึงอาบน้ำล้างหน้าในตอนเช้า เวลากลางวันศรีอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่หน้าอกในเวลากลางวันและเวลาเย็นศรีอยู่ที่เท้า คนจึงเอาน้ำล้างเท้าเวลาเย็น เมื่อถึงวันถ้วนเจ็ด ท้าวกบิลพรหมได้มาทวงถามปัญหาธรรมบาล เมื่อธรรมบาลตอบได้ (ตามที่ได้ยินนกพูดกัน) กบิลพรหมจึงตัดศรีษะของตนบูชาธรรมบาลตามสัญญา แต่เนื่องจากศรีษะของกบิลพรหมศักดิ์สิทธ์ถ้าตาลงบนแผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ ถ้าทิ้งในอากาศจะทำให้เกิดฝนแล้ง และถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ดังนั้นเมื่อกบิลพรหมจะตัดศรีษะของตนจึงให้ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารองรับศรีษะของตนไว้ โดยตัดศรีษะส่งให้นางทุงษผู้ธิดาคนใหญ่ แล้วธิดาทั้งเจ็ดจึงแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลา 60 นาที จึงนำศรีษะไปประดิษฐานไว้ที่มณฑปในถ้ำคันธุลีเขาไกรลาส บูชาเป็นเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ ให้เป็นที่ประชุมเทวดา พอครบหนึ่งปีธิดาทั้งเจ็ดจะผลัดเปลี่ยนกันมาอันเชิญ เอาศรีษะของกบิลพรหมแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ธิดาทั้งเจ็ดของกบิลพรหมมีชื่อดังนี้คือ ทุงษ โคราค รากษส มัณฑา กิรินี กิมิทาและมโหทร พิธีแห่เศียรของกบิลพรหมนี้ ทำให้เกิดพิธีตรุษสงกรานต์ขึ้นทุก ๆ ปี และถือเป็นประเพณีขึ้นปีใหม่ของชาวไทยโบราณต่อ ๆ กันมาด้วย (สาร สารทัศนานันท์ 2530 : 24)
ขั้นตอนดำเนินการ
การประกอบพิธีประเพณีสงกรานต์มีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้
ในวันที่ 12 เมษายน ซึ่งถือเป็นวันก่อนเริ่มวันงานหรือวันเตรียมงานในช่วงบ่ายทางวัดจะจัดเตรียมทำความสะอาดพระพุทธรูป ปัดกวาดศาลาการเปรียญให้เรียบร้อย จัดตั้งโต๊ะหรือที่จะทำพิธีสรงพระพุทธรูปบางแห่งอาจมีหอสรงไว้แล้วก็ไม่ต้องจัดเตรียมโต๊ะอะไร หากจะมีพิธีสรงพระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่ด้วยก็ต้องเตรียมเก้าอี้ มานั่งหรืออาจเป็นแคร่ไม้ไผ่ก็ได้ใว้ให้พระสงฆ์ตรอดจนคนเฒ่าคนแก่นั่ง
ในวันที่ 13 เมษายน ซึ่งถือเป็นวันงาน ช่วงเช้าจะมีการทำบุญตักบาตร คนหนุ่มสาวลูกหลานที่เดินทางมาจากต่างถิ่นจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด เป็นการเริ่มปีใหม่ชีวิตใหม่ตามวิถีของไทยอีสาน ครั้นถึงเวลาบ่ายประมาณสองโมง (14 นาฬิกา) ทางวัดจะตีกลองเพื่อนัดชาวบ้านให้จัดหาน้ำอบน้ำหอมและดอกไม้ธูปเทียนไปรวมกันที่วัด บางท้องถิ่นหนุ่มสาวจะชวนกันไปหาดอกไม้ในป่าเพื่อนำมาบูชาพระ เมื่อพร้อมแล้วมีการกล่าวคำบูชาดอกไม้และอธิฐานขอสรงน้ำชาวบ้านก็จะสรงน้ำพระพุทธรูปที่จัดเตรียมไว้ โดยใช้ช่อดอกไม้จุ่มน้ำอบน้ำหอมและสลัดใส่องค์พระพุทธรูป จากนั้นชาวบ้านก็จะนำน้ำที่ได้จากการสรงพระพุทธรูปไปประพรมบนศรีษะของตนลูกหลานและสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ฯลฯ เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข เกิดสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัวและสัตว์เลี้ยง
หากมีหอสรงมักจะอันเชิญพระพุทธรูป 4 องค์ไปไว้ที่หอสรงสำหรับสรงน้ำในวันถัดไปจากวันตรุษสงกรานต์อีกด้วย ที่หอสรงบางแห่จะใช้ไม้แก่นเจาะเป็นราง สลักลวดลายอย่างสวยงามและรางอาจทำเป็นรูปสัตว์ เช่น รูปพญานาคเป็นต้น หรือรางไม้ไผ่ที่ทำเป็นร่องยาวพาดออกมาข้างนอกตรงรางบนพระพุทธรูปเจาะเป็นรูและต่อท่อเล็ก ๆ ให้น้ำไหลพุ่งออกมา การสรงน้ำพระพุทธรูปที่หอสรง ถ้ามีรางก็เทน้ำใส่รางที่ยื่นออกมาข้างนอกเพื่อให้น้ำไหลรดองค์พระพุทธรูปตรงรู หากไม่มีรางใช้ภาชนะเล็ก ๆ เช่น ขัน เป็นต้น ทำการรดในวันต่อ ๆ มาภายหลังวันตรุษสงกรานต์
เมื่อมีคนไปสรงน้ำพระพุทธรูป เด็ก ๆ มักชอบไปอยู่ข้างใต้หอสรงเพื่อจะได้อาบน้ำที่สรงพระพุทธรูปเป็นที่สนุกสนาน ทั้งเชื่อกันว่าจะทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บและอยู่เย็นเป็นสุขด้วย การสรงน้ำพระพุทธรูปที่หอสรงนี้จะทำทุกวัน จนกว่าจะแห่ดอกไม้เสร็จ ซึ่งอย่าช้าไม่เกินวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 จึงอันเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้ตามเดิมในวันตรุษสงกรานต์
เมื่อสรงน้ำพระพุทธรูปเสร็จแล้ว บางแห่งเวลากลางคืนประมาณหนึ่งทุ่มชาวบ้านจะไปรวมกันที่วัดทำการละเล่นสนุกสนาน มีการร้องรำทำเพลง บางแห่งจะมีเกมเล่นต่าง ๆ บางแห่งจะพากันจับกลุ่มเล่นหัวกันตามละแวกหมู่บ้าน หรือในบริเวณวัดแล้วนำกิจกรรมละเล่นพื้นบ้านมาเล่นกัน เช่น เล่นสะบ้า ดึงชักเย่อ เป็นต้น
การเล่นสงกรานต์ (สาดน้ำ) จะไม่มีการถือชั้นวรรณะ อายุ เพศ วัย ทุกคนสามารถเล่นสาดน้ำใส่กันได้ทั้งนั้น เพราะเชื่อกันว่าหาเล่นสาดน้ำกันมากเท่าใดก็จะเป็นการดลบันดาลให้ฝนตกมามากเท่านั้น บางแห่งพวกผู้หญิงจะรวมกันจับผู้ชายไปมัดไว้แล้วรดน้ำไปเรื่อย ๆ จนหนาวสั่น จะหยุดรดก็ต่อเมื่อผู้ถูกจับยอมเสียค่าไถ่ เช่น เครื่องดื่ม (เหล้า, น้ำอัดลม) ขนม เป็นต้น
นอกจากสรงน้ำพระพุทธรูปแล้วในวันตรุษสงกรานต์ยังมีการสรงน้ำพระสงฆ์ บางแห่งจะสรงน้ำ ดำหัวคนเฒ่าคนแก่ด้วย เป็นการแสดงความเคารพและขอพรให้อยู่เย็นเป็นสุข
พอถึงวันที่ 14 เมษายน ชาวอีสานถือว่าเป็นวันเนาอันเป็นวันที่ถัดจากวันมหาสงกรานต์วันนี้ถือเป็นวันนี้ถือเป็นวันหยุด ใครมีการงานอะไรจะต้องหยุดพักไว้ก่อนแล้วให้มาเล่นสงกรานต์กันอย่างสนุกสนานจนล่วงถึงรุ่งสางราวตี 4 ตี 5 จะมีการยิงปืนและจุดประทัดเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและเสนียดจัญไรต่าง ๆ ด้วย
บางแห่งชาวบ้านจะทำธุง (ธง) ด้วยด้ายสีต่าง ๆ ยาวประมาณ 2 – 3 วา นำไปแขวนที่วัด โดยใช้ลำไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ เป็นเสาธง ช่วงนำธุงไปแขวนจะมีพิธีแห่ด้วยทำให้เกิดความสนุกสนานดี การนำธุงไปแขวนตามวัดนั้นมีความเชื่อว่า เป็นการบูชาพระรัตตรัย และเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนนะของชีวิต กล่าวคือการมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนถึงรอบปีถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชีวิต จึงได้ปักธงชัยให้เทวดาได้รับรู้
ครั้งถึงวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของประเพณีนี้ บางแห่งมีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้า บางแห่งมีการขนทรายมาก่อเจดีย์ทรายที่วัดหรือทำที่หาดทรายใกล้แม่น้ำของหมู่บ้าน การก่อเจดีย์ทรายจัดทำโดยเอาทรายผสมน้ำพอชุ่มแล้วนำมาก่อเป็นทรายกองใหญ่ ทำให้รูปทรงเรียวสูงคล้ายพีระมิด ตกแต่งให้สวยงามดีแล้วใช้ไม้แข็งที่ทำลวดลายทาสีให้สวยงามตรงปลายห้อยด้วยดอกไม้และเทียนมาเสียบตรงยอดเจดีย์เป็นการปักธงชัยแห่งชีวิตในรอบปี
บางแห่งจะเอาขันขนาดเล็กใส่ทรายผสมน้ำพอหมาด ๆ ให้เต็มพอดีแล้วดีคว่ำลงกับพื้นดินรอบเจดีย์ทรายองค์ใหญ่ คนหนึ่งทำให้เกินอายุของตนไว้ 1 ขัน ซึ่งมีความหมายว่าขอให้อายุยืนยาวต่อไปอีก กองทรายที่ทำด้วยขันรองเจดีย์ทรายองค์ใหญ่จำนวนมากมายนี้ความหมายอีกนัยหนึ่งคือหมายถึงจำนวนพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ “แปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์” ดังนั้นหลายแห่งจึงเรียกเจดีย์กองทรายใหญ่ว่า “กองพระทรายแปดหมื่น” ส่วนกองทรายที่ทำด้วยขันมากมายเทียบกับ “สี่พันพระธรรมขันธ์”
นอกจากนี้ชาวบ้านบางคนจะกำทรายไปใส่ตามโคนต้นไม้ในบริเวณวัดมีต้นโพธิ์เป็นต้น โดยนับจำนวนกำให้เกินอายุของตนไว้ 1 กำ ซึ่งทำเกินไว้นั้นนัยว่าต้องการให้มีอายุยืนต่อไปอีกเหมือนดังที่กล่าวแล้ว
การก่อเจดีย์ทรายหากไม่ทำในวันดังกล่าวอาจเว้นไปทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็ได้ ซึ่งหลายแห่งนิยมทำกันในช่วงนี้มาก เพราะเป็นช่วงที่ว่างห่างจากการเล่นสงกรานต์พอดี และจะได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่นำมาสรงน้ำที่หอสรงไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
การก่อเจดีย์ทรายเมื่อทำเสร็จแล้ว ก็จะมีการทำพิธีบวช โดยนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป มาทำพิธีสวดพระพุทธมนต์ และทำพิธีบวชองค์พระเจดีย์ทราย มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่เจดีย์ทรายด้วย พิธีนิยมทำในตอนบ่ายพอถึงตอนเย็นหรือค่ำมีการเจริญพระพุทธมนต์ฟังเทศน์ฉลองพระเจดีย์ทราย และอาจมีมหรสพสมโภชก็ได้
การก่อเจดีย์ทรายนอกจากจะได้บุญตามความเชื่อกันแล้ว สิ่งที่ได้ทางอ้อม คือการได้นำดินเข้าวัด เป็นการช่วยทำให้ดินตรงนั้นไม่ลุ่มต่ำ เมื่อฝนตกลงมาก็จะช่วยชะดินให้เรียบเสมอ ไม่มีน้ำขังและหญ้าไม่ขึ้นด้วยทำให้ลานวัดสะอาดงามไปในตัว
วิพากษ์พิธีกรรม – ความเชื่อ
บุญสงกรานต์หรือประเพณีสงกรานต์หลายแห่งเชื่อกันว่าเป็นประเพณี พิธีกรรมของชาวพุทธ อันที่จริงแล้วไม่ใช่พิธีกรรมอันแท้จริงของชาวพุทธเลย แต่เป็นพิธีกรรมที่ชาวพราหมณ์ปฏิบัติกันมาช้านานแล้วไม่ว่าจะเป็นตำนาน ลักษณะพิธีกรรม ความเชื่อ การละเล่นต่าง ๆ ล้วนเป็นแบบประเพณีพราหมณ์ทั้งนั้น เหตุที่มีพระเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะพระส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับญาติโยมเป็นสำคัญ หากโยมพาทำอะไรที่เห็นว่าไม่เป็นการเสียหายต่อรูปแบบหรือการของพุทธเกินไปก็ทำ ส่วนหนึ่งกระทำไปด้วยไม่รู้จริง ๆ ว่า นั้นคือประเพณีของพราหมณ์ มีความเชื่อตามคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่นำมาปฏิบัติจนกลายเป็นของพุทธไปแล้ว พระจึงไม่เพียงแต่ทำตามเท่านั้นหากแต่ชักชวนนำพาบอกกล่าว สรรเสริญในบุญประเพณีนี้ด้วยช้ำ เพราะผู้รู้ในหลักของพุทธศาสนาท่านจะไม่เอา ไม่ทำ ไม่นำพาในพิธีกรรมนี้เลย เพราะเป็นแค่ความเชื่อชั่วครั่งชั่วคราว ไม่ใช่แก่นแกนของศาสนาอะไร โดยเฉพาะพระสายปฏิบัติและสายปัญญาท่านเข้าใจอย่างแท้จริงท่านจะไม่สนับสนุนให้ทำ และยังสอนให้คนเข้าใจผิด ๆ ด้วย ซึ่งคำสอนของพระเหล่านั้นสอดคล้องกับหลักพุทธตามเป็นจริงและที่ผู้เขียนได้ศึกษาหลักของพระพุทธมา ขอเสนอให้ท่านได้เกิดสัมมาทิฐิดังนี้
ความเชื่อในเรื่องราศรีหรือศรี ตามตำนานที่เล่าว่าตอนเช้าราศีอยู่ที่หน้าตอนกลางวัน
อยู่หน้าอก ตอนค่ำอยู่ที่เท้า ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นกุศโลบายเท่านั้น คือมุ่งจะสอนให้คนเราประพฤติปฏิบัติให้เกิดสิ่งดีแก่ตนเองเท่านั้นเอง แต่งไม่บอกรายละเอียดจริง ๆ ว่าคืออะไร เพียงซ่อนแฝงความจริงไว้แล้วแนะให้เชื่อว่า หากนำน้ำล้าง ส่วนที่กำหนดดังกล่าวจะทำให้เกิดราศีคือมงคลแก่ตนเองได้ คนส่วนใหญ่มีความเชื่อง่ายอยู่แล้วจึงเชื่อโดยไม่ต้องศึกษาถึงส่วนลึกรายละเอียดและกุศโลบายที่แท้จริง
ตอนเช้าราศีอยู่ที่หน้านั้น ความจริงคือท่านมุ่งสอนให้คนเรามีความสุขนิสัยที่ดีคือเมื่อตื่น
เช้าขึ้นมาจะต้องล้างหน้าทำความสะอาดใบหน้าให้ผ่องใสเพราะใบหน้า คือส่วนแรกที่คนเรามองกัน ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดหากไม่อาบน้ำก็ควรล้างหน้าไว้ก่อน และที่เป็นส่วนรายละเอียดที่ลึกกว่านั้นก็คือ ท่านมุ่งสอนให้เราทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบานสดใส ยิ้มง่าย ไม่ทำใบหน้าให้อมทุกข์ หน้านิ้วคิ้วขมวด หากทั้งล้างหน้า (หน้าอก) และยิ้มย่องผ่องใส (หน้าใน) ได้แล้วย่อมทำให้คนนั้นเป็นคนมีเสน่ห์ มีราศีในตัวเอง มิได้เกิดจากสิ่งใดมาดลบัลดาลให้เลย หากแต่เกิดจากกรรมคือการกระทำของตัวเองนั้นเอง
ความเชื่อในตอนเที่ยงราศีที่อยู่อกนั้น ความจริงต้องการให้เราชำระล้างร่างกายให้สะอาดหรืออาบน้ำนั้นเอง หากอาบน้ำชำระร่างกายให้ดีย่อมส่งผลถึงจิตใจจะทำให้คนเราใจดีไปด้วย เพราะจิตใจและกายย่อมพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หากกายสะอาดดีก็จะส่งผลถึงจิตใจและหากจิตใจดีก็ส่งผลถึงกายเช่นกัน ทั้งกายและจิตใจจึงเอื้อต่อกัน จุดมุ่งที่แท้จริงท่านต้องการให้เราทำจิตใจสงบเย็น เพราะตรงอกก็คือหัวใจ คนเราจะดีชั่วก็อยู่ที่จิตใจหรือหัวใจของเรานั้นเอง การสอนให้เอาน้ำลูบอกหรือล้างอกก็คือสอนให้เราใจเย็น ใจดี ให้อภัยไม่โลภ หลง หรือมีอวิชาครอบงำนั้นเอง
ที่บอกว่าตอนค่ำราศีอยู่ที่เท้า ข้อนี้เจตนาต้องการสอนให้เราทำความสะอาดเท้าก่อนเข้านอน ซึ่งเป็นกุศโลบายที่ดีมาก หากเราเข้านอนโดยไม่ล้างเท้าหรืออาบน้ำจะทำให้เกิดความสกปรกได้ เมื่อคนเชื่อและปฏิบัติตามราศีและมงคลย่อมเกิดแก่ตนเองแน่นอน
ความเชื่อเกี่ยวกับการสรงน้ำ ความเชื่อเกี่ยวกับน้ำไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำมนต์และสรงน้ำย่อมมีความเชื่อคล้าย ๆ กัน คือมีความเชื่อว่าการรดน้ำมนต์และสรงน้ำแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นมงคลแก่ตนเอง ครอบครัวตลอดจนทรัพย์สมบัติต่าง ๆ อันที่จริงก็ได้ความสุขทางจิตใจระดับหนึ่งแต่ไม่ใช่แก่นแท้ของการทำตนให้มีความสุข ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงหรือสุขนิรันดร์อะไรเป็นสุขทางใจชั่วขณะเท่านั้น และประเพณี 2 อย่างนี้ก็เป็นของพราหมณ์อย่างชัดเจน แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นพิธีพุทธเพราะเห็นมีพิธีทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งหากศึกษาระดับลึกแล้วจะเห็นเป็นการประสมประสานเข้าหากันเท่านั้น เพราะพระไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกระหว่างแนวคิดพิธีปฏิบัติจึงปรับตัวเองให้เข้ากับประเพณีที่มีมาแต่โบราณ (พิธีพราหมณ์)
แต่พระผู้ยึดหลักของพุทธอย่างแท้จริงท่านจะก้าวล่วงประเพณีเหล่านี้ไป แม้แต่การรดน้ำมนต์ก็ไม่เอาไม่ทำเพราะพุทธจริง ๆ ไม่เคยสอนว่าน้ำมนต์จะดลบันดาลให้คนได้ดีได้ คนยากจนลดน้ำมนต์แล้วก็ใช่จะรวยคนชั่วคนทำผิดศีลธรรมมารดน้ำมนต์ใช่ว่าจะทำให้ดีขึ้นได้ เพราะหลักศาสนาสอนว่ากรราชั่ว กรรมดีอยู่ที่การกระทำของตนเองต่างหาก หากทำชั่วย่อมได้รับชั่วตอบสนอง แม้จะไม่ตอบสนองทันทีทันใดแต่ก็ต้องได้รับกรรมไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งน้ำมนต์จะมาชำระล้างบาปกรรมที่ทำชั่วลงไปไม่ได้ (เป็นอันขาด) นี่คือหลักของพุทธศาสนา ที่พระต้องรดน้ำมนต์ตลอดจนการสรงน้ำในวันสงกรานต์เป็นแค่เปลือก กระพี้ที่ทำพอให้คนที่นี้ภูมิปัญญาระดับต้น ๆ สบายใจเท่านั้น ที่เชื่อกันว่าจะทำให้สัตว์ พืชพันธุ์ ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ อยุ่เย็นเป็นสุขนั้นขัดกับหลักพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เพราะสัตว์หรือพืชจะเจริญเติบโตหรืองอกงามดีย่อมอยู่ที่การดูแลรักษาเป็นสำคัญ เราจะนำน้ำมนต์หรือน้ำที่เหลือจากการสรงพระไปประพรมให้มากเท่าไหร่ก็ไม่อาจช่วยให้ดีได้หากเราไม่ดูแลรักษาให้ดี ข้อนี้คือความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้
3. ความเชื่อเกี่ยวกับกองเจดีย์ทราย เจดีย์ทรายกองใหญ่เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอนแปดหมื่น ส่วนเจดีย์ทรายกองเล็กที่มีขันเป็นแม่แบบและมีการทำมากมายรอบ ๆ เจดีย์ทรายกองใหญ่แทนสี่พันระธรรมขันธ์ นี้เป็นความเชื่อด้านสัญลักษณ์แทนสิ่งมีค่าคงไม่ต้องพิพากษ์อะไรแต่ที่เชื่อกันว่าหากก่อเจดีย์กองเล็กมากเท่าไรก็จะทำให้อายุมากเท่านั้นนี้ซิเป็นเรื่องควรวิพากษ์เป็นอย่างยิ่ง
ชาวอีสานส่วนหนึ่งจะเชื่อในเรื่องนี้มากจึงพากันก่อเจดีย์ทรายกันใหญ่ หากมาศึกษาดูคำสอนของศาสนาพุทธในฐานะเป็นชาวพุทธแล้วปรากฏว่าไม่มีคำสอนใดทีกล่าวถึงว่าการก่อเจดีย์ทรายแล้วจะช่วยให้อายุยืนได้เลย แต่การที่อายุยืนได้นั้นท่านสอนให้ทำความดี คือไม่ทำปาณาติบาตท่านสอนว่าคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นเหตุให้อายุสั้น ดังนั้นชาวพุทธควรเชื่อตามแนวพุทธจะดีกว่า แต่การทำประเพณีก็ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์ แต่เราอย่าลืมสาระหลักของศาสนาก็แล้วกัน
4. การจุดประทัดเพื่อไล่ภูตผีปีศาจ ความเชื่อนี้มีมาแต่โบราณอาจมาจากความเชื่อว่าประทัดมีเสียงดังภูตผีปีศาจคงจะกลัวเสียงดัง ความเชื่อนี้คงขยายตัวมาจากชาวจีน เพราะชาวจีนนิยมจุดประทัดในเทศกาลสำคัญและงานที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ และชาวจีนเป็นต้นตำรับของการผลิตประทัดประกอบกับชาวพราหมณ์อีสานมีความเชื่อในไสยศาสตร์มากอยู่แล้วจึงพากันเชื่อเอาง่าย ๆ ว่าประทัดจะไล่ภูตผีปีศาจได้จริง จึงมีการจุดประทัดในงานดังกล่าว
หากศึกษาตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธในฐานะเป็นชาวพุทธไม่เห็นมีคำสอนส่วนใดเลยว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผีร้ายหนีไปได้ แต่ท่านสอนว่าผีร้ายคือความชั่วทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจเรานั้นจะหนีไปได้ก็ต่อเมื่อเราทำความดี สร้างบุญกุศลให้เกิดมีขึ้นในใจเราเท่านั้น ดังนั้นแม้เราจะจุดประทัดดังปานใดมากเพียงไหนก็คงช่วยไล่ความชั่วร้ายจากจิตใจเราไม่ได้แน่
เท่าที่ได้วิพากษ์มาทั้งหมดนั้นผู้เขียนได้ยึดหลักของคำสอนของศาสนาพุทธเป็นหลัก เพราะเป็นคำสอนที่มีเหตุผลสามารถพิสูจน์ได้ไม่ใช่สอนให้เชื่อตาม ๆ กันมาเฉย ๆ แต่สอนให้มีวิจารณญาณใช้โยนิโสมณสิการ คือการพิจารณาไตร่ตรองให้แยบคาย รอบคอบแน่นอน มั่นใจแล้วจึงเชื่อ และให้ยึดหลักกาลามาสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงสอนกาลามชนโดยไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ ขอชาวพุทธพึงสังวรในเรื่องนี้ให้ดี
อย่างไรก็ดีประเพณีดังกล่าวชาวอีสานก็ควรได้สืบสานปฏิบัติกิจกรรมตามฮีตกันต่อไป และควรแยกแยะออกให้ชัดเจนระหว่างฮีตและหลักของพุทธ ขออย่าได้ถือว่าทั้งหมดนั้น คือหลักของพุทธก็แล้วกันจะเป็นมิจฉาทิฐิเปล่า ๆ เหตุที่ควรปฏิบัติประเพณีหรือฮีตต่อไปไม่ขาดสายก็เพราะบรรพบุรุษได้สอนไว้ว่า
“อีตหนึ่งนั้น พอเถิงเดือนห้าให้พวกไพร่ชาวเมือง
พากันทำเครื่องสรงองค์พระสัพพัญญูเจ้า ทุกวัดให้ทำไปอย่าไลห่าง
ให้พากันสืบสร้างบุญไว้อย่าไล ทุกทั่วทีปแผ่นหล้าให้ทำแท้สูคน
จั่งสิสุขยิ่งล้นทำถึงคำสอน คือฮีตครองควรถือแต่ปางปฐมพุ้น”
หมายความว่า พอถึงเดือนห้าชาวบ้านจะพากันหาเครื่องสรงพระพุทธรูป มีน้ำเป็นต้น ไปสรงพระพุทธรูปและพระภิกษุสงฆ์จนญาติผู้ใหญ่คนเฒ่าคนแก่ หากกระทำก็จะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข มีสิริมงคลแต่ตนเองและครอบครัว และหากไม่ทำก็จะเป็นตรงกันข้าม ดังนั้นชาวอีสานจึงยึดถือปฏิบัติจนปัจจุบัน